วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

จานพาลาโบลิก






จานสะท้อนแบบพาราโบลิก คืออุปกรณ์สะท้อน หรือกระจก ที่ใช้สะสมหรือรวบรวมพลังงาน เช่น แสง เสียง หรือคลื่นวิทยุ รูปร่างของมันคล้ายกับพาราโบลอยด์กลมจานสะท้อนแบบพาราโบลาสามารถมีรูปร่างเป็นคลื่นระนาบตามแนวแกน ไปจนถึงคลื่นทรงกลมที่ม้วนวนเข้าสู่จุดโฟกัส
จานสะท้อนแบบพาราโบลิกใช้ในการรวบรวมพลังงานจากที่ไกลๆ  และนำพลังงานนั้นรวมเข้าไปสู่จุดโฟกัส เมื่อนำหลักการสะท้อนมาดำเนินกลับทาง จานสะท้อนแบบพาราโบลิกก็อาจนำมาใช้ส่องพลังงานจากจุดกำเนิดที่อยู่ที่โฟกัสและส่งออกไปเป็นลำพลังงานแบบขนานก็ได้ จานพาลาโบลิกจะรวมแสงไว้ตรงกลางเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร การประกอบอาหารจะสุกเร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในอาการ











น้ำพุบำบัดน้ำเสียช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำเพื่อลงการน้ำเน่าเสีย
นอกจากยังช่วยเรื่องน้ำเน่าเสียแล้วยังได้ความสวยงามเพลินตาไปพร้อมๆกัน มีดี 2 ใน 1 เลยทีเดียว

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการใช้อีเอ็มบอล





 


 
การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการใช้อีเอ็ม บอล
           น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต การบริการจัดการน้ำที่ดี โดยเฉพาะการบำบัดน้ำให้สะอาดพอที่จะสามารถบริโภคได้นับเป็นภาระกิจหลักของหน่วยงานของเรา

 อีเอ็ม (EM) คืออะไร

         EM (Effective Microorganisms) คือจุลชีพที่เก่งเฉพาะทาง (เซียนเฉพาะด้าน) ตามแต่ผู้เพาะเลี้ยง จะแยกคัดพันธุ์มาขาย และรู้กำพืดของมันดี (ระวัง พวกที่เพาะมาจากน้ำเน่า คือจับจุลชีพอะไรก็ไม่รู้ มาใส่ถัง เลี้ยงด้วยอาหาร ซึ่งส่วนมาก ก็คือน้ำตาล และเขาอาจตักเชื้อโรค พยาธิ ต่างๆ มาเพาะให้มันเจริญเติบโตควบคู่กันไปด้วย ซึ่งอันตรายมาก)

 

EM อาจนำมาขายได้ ทั้งในรูปของของเหลว (เลี้ยงในสารละลายน้ำตาล) หรือ ของแข็ง (เลี้ยงในอาหารจำพวกรำข้าว) ดังนั้น ต้องเลือก EM ให้ถูกกับประเภทของงานที่จุลชีพกลุ่มนั้นถนัด เช่น กลุ่มที่ชอบกินตะกอนน้ำเน่า ที่หมักหมมอยู่ในน้ำเน่าใต้ถุนบ้าน หรือใต้ท้องคลองน้ำเน่า ที่นิ่งไม่ไหลเร็ว จุลชีพในน้ำ EM ก็จะขยายพันธุ์ลงไปกินตะกอนเลนเหล่านั้น และขยายพันธุ์จนกลายเป็นอาณาจักรของมัน ถ้า EM ไม่ชอบน้ำเน่าประเภทนั้น มันก็จะไม่ขยายพันธุ์ แล้วถูกจุลชีพท้องถิ่นในน้ำเน่าบริเวณนั้นข่ม หรือมันถูกกิน ในที่สุด นั่นคือ การใช้ EM ชนิดนั้น แล้วไม่ได้ผลอะไร อย่าลืม ต้องใช้EMให้ถูกกับประเภทของภาระกิจ (ไม่มีEMใด ที่ทำงานได้ครอบจักรวาล) และต้องใช้ในบริเวณพื้นที่จำกัด เพื่อที่EMจะได้ขยายพันธุ์ เพื่อกินของเน่าเสีย ก่อนที่จะถูกจุลชีพในท้องถิ่นมาจับกินเป็นอาหาร ดังนั้น ต้องใช้EMให้ถูกชนิด และมีปริมาณเพียงพอที่มันจะสามารถขยายพันธุ์เพื่อเอาชนะจุลชีพในท้องถิ่น ที่มีอยู่ก่อนให้ได้ สำหรับการใช้EM เทหรือโยนลงไปในน้ำท่วม ที่ไหลบ่าอย่างรวดเร็ว จะไม่ได้ผลอะไร เพราะมันจะถูกเจือจาง และขยายพันธุ์กันไม่ทัน

 

EM ช่วยเพิ่ม O2 ได้จริงหรือไม่ ลดโลหะหนักได้จริงหรือไม่

        หากใช้EMถูกประเภท + ใช้ในพื้นที่ ที่จำกัดอาณาบริเวณได้ + และใช้ในปริมาณที่เพียงพอ EMก็จะสามารถขยายพันธุ์ โดยกินของเน่าเสียที่หมักหมมที่สะสมใต้ท้องบ่อบริเวณน้ำเน่านั้นเป็นอาหารและขยายอาณาจักร์ของมัน เมื่อของเน่าเสียที่สะสมใต้ท้องคลองหมด BODในน้ำเสียก็จะเริ่มลดลงด้วย จนในที่สุดออกซิเจนจากอากาศ ที่ถ่ายผ่านผิวน้ำในบริเวณนั้น มีมากเพียงพอ น้ำเน่านั้นก็จะกลายเป็นน้ำดี คือ มี DO เกิดขึ้นตามมา

       นั่นคือ หากการใช้ EM ถูกชนิดและในปริมาณที่เหมาะสมกับพื้นที่ ก็จะสามารถช่วยกินของเสียที่สะสมหมักหมมอยู่ จนกลายเป็นน้ำดี ที่มีค่า DO ได้ ส่วนการลดโลหะหนัก EM ส่วนมากที่เพาะมาขายกัน ไม่กินโลหะหนัก ความจริงมีคนเพาะได้ เช่น ฝึกให้มันกินทองแดงจากแร่ แต่นี่ก็เป็นเพียงการย้ายที่โลหะหนักจากแร่มาอยู่ในตัวมัน ก่อนนำไปสกัดโลหะหนักออกจากตัวมัน ซึ่งเป็นไป ตามทฤษฎีที่ว่า สสาร (โลหะหนัก)ไม่มีการสูญหาย จะเพียงเปลี่ยนรูป ย้ายไปมาเท่านั้น

 

ผลข้างเคียงของ EM

        อันตรายที่จะพบกัน ก็คือ ผู้ผลิต EM ไม่รู้กำพืดของจุลชีพที่ตนเองผลิต และไม่รู้ว่ามันเก่งทางด้านใด และบางครั้ง อาจเพาะเชื้อโรค หรือมีไวรัสปนเปื้อน โดยใช้น้ำตาลโมลาสเลี้ยง ออกมาขาย แจกจ่ายกัน ซึ่งจะนำไปสู่การขยายตัวของ พยาธิ์ เชื้อโรค และไวรัส เกิดโรคระบาด การกลายพันธุ์ ตามมา    ดังนั้น ต้องเลือกชื้อจากผู้ผลิตที่มีการควบคุมคุณภาพ ที่สามารถระบุชนิดและที่มาของจุลชีพของตนได้ และไม่ควรใช้ดื่มหรือสูดดม เพราะอาจมีจุลชีพกลายพันธุ์ หรือปนเปื้อนไวรัส เข้าสู่ร่างกาย (เพราะการผลิต EM บริสุทธิ์ 100% ทำได้ยากมาก)

 EM และน้ำหมักชีวภาพ แก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียได้จริงหรือ ?

       กลุ่มอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงการใช้ EM และน้ำหมักชีวภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียไว้ว่า [1] ถึงแม้ EM ต้นแบบ (ลิขสิทธิ์ Professor Teruo Higa) ซึ่งอ้างว่ามีความสามารถในการกำจัดกลิ่นและทำให้น้ำใส แต่ก็เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาชั่วคราวในระยะสั้นเท่านั้น แต่หากสารอินทรีย์ในน้ำยังคงอยู่ และออกซิเจนในน้ำไม่เพียงพอ ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าน้ำนั้นสะอาดจริง กล่าวคือน้ำดังกล่าวยังไม่ปลอดภัยที่จะนำมาใช้และไม่ปลอดภัยต่อสัตว์น้ำแต่อย่างใด และอาจยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ได้อยู่ นอกจากนี้ หากมองถึงประเด็นการผลิตน้ำหมักชีวภาพ หรือ EM ในแบบต่างๆ ด้วยตนเอง จุลินทรีย์ที่ได้อาจมีองค์ประกอบที่แตกต่างจากจุลินทรีย์ใน EM ต้นแบบ และหากไม่ได้ผ่านกระบวนการควบคุมคุณภาพที่ดีพอ EM และ น้ำหมักชีวภาพอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคได้ ซึ่งนับเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ควรระวังและไม่ควรมองข้ามสำหรับทุกๆ หน่วยงานและภาคส่วนที่มีสนับสนุนการใช้ EM เพื่อบำบัดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าเสียในบริเวณน้ำท่วมขัง

 

จุลินทรีย์บอลบำบัดน้ำเสีย มารู้จัก EM ball พร้อมวิธีทำกัน

      เป็นที่ทราบกันดีว่าตอนนี้ในหลาย ๆ พื้นที่นั้นได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 2554 ครั้งนี้กันหลายพื้นที่ ซึ่งส่งผลให้ต้องมีการอพยพผู้คนหลายพัน หลายหมื่นคน แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ คนที่แม้ว่าน้ำจะท่วมแค่ไหนก็ขอปักหลักอยู่กับบ้าน หรือในหลาย ๆ พื้นที่น้ำอาจจะไม่ท่วมสูงมากนัก แต่ก็เจอปัญหาน้ำท่วมขัง ซึ่งเมื่อนานวันเข้าก็ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำเน่าเสีย

      ดังนั้นจึงมีการเร่งทำ ก้อนจุลินทรีย์ เพื่อแจกจ่ายตามพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยในเรื่องของการบำบัดน้ำเน่าเสีย วันนี้ 88DB.com เลยขอหยิบเอาเรื่อง EM ball มาพูดถึงเพื่อให้หลาย ๆ คนเข้าใจกันมากขึ้นว่า EM ball คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร พร้อมกับวิธีการทำใช้เองง่าย

       EM ย่อมาจากคำว่า Effective Microorganisms ซึ่งมีความหมายว่า กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ มีลักษณะเป็นของเหลว สีน้ำตาล กลิ่นหวานอมเปรี้ยว เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมีหรือ ยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เช่น คน สัตว์ พืช และแมลงที่เป็นประโยชน์ ช่วยปรับสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ ที่ทุกคนสามารถนำไปเพาะขยายเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง

 

คุณสมบัติบางประการและการเก็บรักษา

1. EM เป็นสิ่งมีชีวิต ต้องเก็บไว้ในที่ร่ม อุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ประมาณ 20 – 45 องศาเซลเซียส หากไม่ได้เปิดใช้เก็บไว้ได้นาน 1 ปี

2. EM ไม่ใช่ปุ๋ย แต่เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่อยู่ในสภาพพัก การนำไปใช้หากเปิดใช้แล้วให้รีบปิด เก็บไว้ได้นาน 6 เดือน

 

จุลินทรีย์ใน EM คืออะไร

      คำว่า จุลินทรีย์หรือแบคทีเรีย บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นเชื้อโรคที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามจุลินทรีย์ที่ใช้ในการผลิต EM (จุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติก ยีสต์ และจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง) ผลิตจากจุลินทรีย์ธรรมชาติ ไม่มีจุลินทรีย์ก่อโรค ไม่มีสารเคมีสังเคราะห์ และไม่ใช่การตัดต่อยีนส์ (GMOs) ซึ่งเป็นโทษต่อมนุษย์ สัตว์และพืช EM ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่ปลอดภัยซึ่งใช้กันมาก่อนในสมัยโบราณจะโดยตั้งใจหรือ ไม่ตั้งใจก็ตาม จุลินทรีย์ใน EM มี 3 กลุ่ม ดังต่อไปนี้

 1. จุลินทรีย์ผลิตกรดแลกติก

 เป็นจุลินทรีย์ที่จัดอยู่ในพวกแบคทีเรียที่สามารถเปลี่ยน น้ำตาลให้เป็นกรดแลคติกได้โดยผ่านกระบวนการหมัก ซึ่งกรดแลกติกสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรคบางชนิด และจุลินทรีย์อื่น ๆ ได้ เนื่องจากมี pH ที่ต่ำ เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางว่ามีการนำเอาจุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติกไปใช้ใน การหมักอาหารหลายชนิด เช่น เนยแข็ง โยเกิร์ต และสามารถเก็บไว้ได้นาน ตั้งแต่หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้ค้นพบจุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติกในปี พ.ศ.2400 ทำให้รู้ถึงประโยชน์ของมันที่เกี่ยวกับสุขภาพและการมีอายุยืนยาว เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีงานวิจัยที่พบว่า นอกจากมันจะอยู่ที่ลำไส้เล็กของคนแล้วมันยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภูมิต้าน ทาน มีคุณสมบัติในการต่อต้านการสูญเสียโปรตีนในเลือด ต่อต้านการกลายพันธ์ โคเลสเตอรอลในเลือดต่ำ และการมีความดันโลหิตต่ำ

 วิธีทำจุลินทรีย์บอล (EM ball)

      เพื่อการบำบัดน้ำเสียในแหล่งน้ำที่มีโคลนตะกอน หรือน้ำไหล หรือน้ำลึก ให้ได้ผลดีกว่าการใช้ EM ขยาย หรือจะใช้ทั้ง EM ball และ EM ขยาย ร่วมกันก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น

 ส่วนผสมส่วนที่ 1

 1. รำละเอียด 1 ส่วน

 2. แกลบป่น หรือ รำหยาบ 1 ส่วน

 3. ดินทราย 1 ส่วน

 * ใช้ โบกาฉิ แทนส่วนที่ 1 หรือใช้โคลนตะกอน แทนดินทรายได้

 ส่วนผสมส่วนที่ 2

 1. EM 10 ช้อนแกง

 2. กากน้ำตาล 10 ช้อนแกง

 3. น้ำสะอาด 10 ลิตร

 * ใช้ EM ขยาย หรือ EM หมักน้ำซาวข้าว หรือ EM5 ผสมร่วมกันหรือใช้แทน EM กับกากน้ำตาลได้

 วิธีทำ

1. ผสมส่วนที่ 1 แล้วรดด้วยส่วนที่ 2 คลุกเคล้าให้เข้ากัน

 2. วัดความชื้นพอเหมาะ ปั้นเป็นก้อนกลม หรือดัดแปรงได้ตามต้องการ

 3. นำไปวางไว้ในที่ร่มจนแห้งสนิท แล้วนำไปใช้






วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

บ้านดิน

 
 
 
 
                                         
 
 
 
    
บ้านดิน 
 การจัดทำบ้านดินของโรงเรียนสัตยาไสเพื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้และศึกษาดูงานให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชมทุกท่าน
วิธีการหลักๆในการสร้างบ้านดิน
การย้ำดิน การเอาดินผสมกับแกลบ น้ำ ย้ำให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
ทำใส่แม่พิมพ์ ทำเป็นอิฐก้อน และตากแดด
ก่อขึ้นเป็นกำแพงบ้านดิน
สร้างหลังคามุงจาก
ก็จะได้บ้านดินที่สวยงาม เย็นสบาย ช่วยลดภาวะโลกร้อน
 ขั้นตอนในการดำเนินการก่อสร้างบ้านดิน
ขั้นตอนในการก่อสร้างบ้านดิน อาจจะแตกต่างจากการก่อสร้างบ้านทั่วไป เนื่องจากบ้านดินไม่มีระบบโครงสร้าง บ้านดินใช้กำแพงรับน้ำหนัก เพื่อให้การดำเนินการ ก่อสร้างกระชับ ทำได้รวดเร็ว การดำเนินการก่อสร้างบ้านดินมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกบ้าน
พื้นที่สำหรับทำบ้านดิน ควรเป็นพื้นที่ ที่น้ำท่วมไม่ถึง ไม่ใช่ทางน้ำไหลบ่า หากเป็นพื้นที่ถมดินใหม่ควรถมทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี หรือผ่านช่วงฤดูฝนสัก 1 ครั้ง
ขั้นตอนที่ 2 การทำอิฐดิน
การทำอิฐดินสำหรับผู้ที่ออกแรงเป็นประจำจะทำอิฐดินได้วันละ 70 - 100 ก้อน การตากอิฐดินใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน เมื่อตากอิฐได้ประมาณ 2-3 วันให้พลิกอิฐขึ้นตั้งทางด้านแนวนอน และทำการแต่งก้อนอิฐในช่วงเวลานี้ จะมีฝุ่นกระจายออกมาน้อย เมื่ออิฐแห้งสนิทดีแล้วควรนำอิฐมากองรวมกันไว้กลางบ้าน เพื่อสะดวกและก่อกำแพงได้รวดเร็ว การขนย้ายควร ทำเพียงครั้งเดียว จากบริเวณตากอิฐมาที่กลางบ้าน
ขั้นตอนที่ 3 การทำรากฐานบ้าน
การทำรากฐานบ้านดิน ควรทำรากฐานให้เสร็จและถมดินให้เรียบร้อยก่อนขนย้ายอิฐดินขึ้นมากองไว้กลางบ้าน
ขั้นตอนที่ 4 การก่อกำแพงบ้าน
หลังจากที่นำอิฐดินมากองไว้กลางบ้านเรียบร้อยแล้ว ช่วงแรกของการก่อกำแพงบ้านจะเร็ว หากก่อขึ้นสูง การทำงานอาจจะช้าลงเพราะ ต้องส่งอิฐดินขึ้นสูง ช่วงนี้อาจติดตั้งวงกบประตูหน้าต่างได้ หรืออาจจะเว้นช่องเอาไว้ติดตั้งในช่วงฉาบ
ขั้นตอนที่ 5 ฉาบกำแพงบ้าน
การฉาบกำแพงบ้าน ควรฉาบก่อนที่จะขึ้นโครงสร้างหลังคา เพราะหลังจากที่ฉาบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำให้กำแพงบ้านมีความแข็งแรงมากขึ้น และยังช่วยให้แดดส่องกำแพงบ้านได้เต็มที่ ช่วยให้ดินที่ฉาบแห้งเร็ว
ขั้นตอนที่ 8 ทำโครงสร้างหลังคา
ขั้นตอนที่ 6 มุงหลังคา
การมุงหลังคาบ้าน ควรมุงหลังจากกำแพงบ้านแห้งสนิทดีแล้ว จะช่วยให้การดำเนินการเร็วขึ้น
ขั้นตอนที่ 7 ติดตั้งบานประตู หน้าต่าง
ขั้นตอนที่ 8 ติดตั้งหลอดไฟ
ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการ ติดตั้งระบบไฟฟ้า
             
                                                                   



วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ไบโอดีเซล




 
ไบโอดีเซล ( Biodiesel )
       เป็นเชื้อเพลิงดีเซลที่ผลิตจากแหล่งทรัพยากรหมุนเวียน เช่น น้ำมันพืช ไขมันสัตว์ หรือสาหร่าย ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงดีเซลทางเลือก นอกเหนือจากดีเซลที่ผลิตจากปิโตรเลียม โดยมีคุณสมบัติการเผาไหม้ เหมือนกับดีเซลจากปิโตรเลียมมาก และสามารถใช้ทดแทนกันได้  คุณสมบัติสำคัญของไบโอดีเซลคือ สามารถย่อยสลายได้เอง ตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
       ไบโอดีเซลเป็นพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงดีเซล จัดเป็นสารประเภทเอสเทอร์ทำจากน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่ากระบวนการทรานส์เอสเตอริฟิเคชัน (Transesterification Process) โดยให้น้ำมันพืชทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ เช่นเมทานอล หรือเอทานอล และมีด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา มีลักษณะเป็นเอสเตอร์ของกรดไขมัน เรียกว่า Fatty Acid Methyl Ester
      การเรียกชื่อประเภทของไบโอดีเซลขึ้นกับชนิดของแอลกอฮอล์ที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา เช่น เมทิลเอสเตอร์ เป็นเอสเตอร์ที่ได้จากการใช้เมทานอลเป็นสารในการทำปฏิกิริยา หรือเอทิลเอสเตอร์ เป็นเอสเตอร์ที่ได้จากการใช้เอทานอล เป็นสารในการทำปฏิกิริยา เป็นต้น  
 บโอดีเซลแบ่งได้เป็น 3 ชนิดคือ
1.ไบโอดีเซลที่ได้จากน้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์ซึ่งสามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลได้เลย
2.ไบโอดีเซลแบบผสม เป็นการนำน้ำมันพืชหรือน้ำมันจากสัตว์มาผสมกับน้ำมันก๊าด หรือน้ำมันดีเซล ก่อนนำไปใช้เช่น โคโคดีเซล ( Coco-diesel ) และปาล์มดีเซล ( Palm-diesel ) เป็นต้น
3.ไบโอดีเซลแบบเอสเตอร์ ได้จากปฏิกิริยาเคมีที่เรียกว่า ทรานส์เอสเตอริฟิเคชัน (Transesterification process) ซึ่งนำแอลกอฮอล์มาทำปฏิกิริยากับน้ำมันจากพืชหรือสัตว์โดยใช้กรด หรือด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
การผลิต
      ในปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล ยังมีราคาแพงกว่าดีเซลจากปิโตรเลียมเมื่อไม่นับรวมถึงอัตราภาษีสรรพสามิต ในประเทศเยอรมนี ในปีพ.ศ. 2548 มีกำลังการผลิต 2 ล้านตันต่อปี ราคาจำหน่ายตามสถานีประมาณ 45 บาทต่อลิตร ซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลเพราะมีการยกเว้นภาษีสรรพสามิต
      ประเทศไทยริเริ่มโครงการไบโอดีเซลเมื่อ ปีพ.ศ. 2543 และได้มีการติดตั้งระบบผลิตเอทธิลเอสเตอร์โดยโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ตั้งแต่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 และได้มีการพัฒนาโครงการไบโอดีเซลชุมชนที่ จ.เชียงใหม่ ปัจจุบัน (มีนาคม พ.ศ. 2549) มีไบโอดีเซล 5% จำหน่ายในสถานีของ ปตท. และบางจาก ในกทม. และเชียงใหม่ (ตามโครงการล้านนาฟ้าใสไบโอดีเซล) ทั้งหมด 15 สถานี
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
น้ำมันพืชใช้แล้ว มีปัญหาเรื่องการปนเปื้อนในรูปของน้ำและตะกอน
ขั้นตอนการผลิต
1.ขั้นตอนจากพืชน้ำมันไปเป็นน้ำมันพืช
2.ขั้นตอนจากน้ำมันพืชไปเป็นไบโอดีเซล
3.ขั้นตอนในการผลิตไบโอดีเซล
ขั้นตอนในการผลิตไบโอดีเซล
1.นำน้ำมันพืชที่ได้จากพืชน้ำมันมาผสมทำปฏิกิริยากับเมทานอล (methanol) กับสารเร่งปฏิกิริยา ซึ่งจะได้เป็นไบโอดีเซล กับกลีเซอรีน
2.แยกกลีเซอรีนออก ทำความสะอาดไบโอดีเซล
 มาตรฐานคุณภาพ
      ตัวจุดวาบไฟ (flash point) โดยปกติมาตรฐานจะอยู่ที่ 130 ถ้าหากสูงกว่านี้ คือเป็น 150 หรือ 170 จะทำให้รถสตาร์ทติดยาก ความบริสุทธิ์ของไบโอดีเซล ข้อแตกต่างระหว่างไบโอดีเซลกับน้ำมันดีเซล  จุดวาบไฟของน้ำมันดีเซลต่ำ ประมาณ 50 กว่า ในขณะที่จุดวาบไฟของน้ำมันไบโอดีเซล ประมาณ 100 กว่าขึ้นไป น้ำมันดีเซลมีกำมะถันสูง แต่น้ำมันไบโอดีเซลไม่มีผลต่อการทำงานของรถยนต์   ไบโอดีเซลช่วยหล่อลื่นแทนกำมะถัน และลดฝุ่นละอองหรือควันดำ ที่เรียกว่า particulate matter ให้ต่ำลง โดยไม่ทำให้เครื่องยนต์อุดตันเพราะเผาไหม้หมด